KM 02 องค์กรแห่งการเรียนรู้ (Learning Organization)
องค์กรแห่งการเรียนรู้ (Learning Organization)
“องค์กรแห่งการเรียนรู้”
เป็นองค์กรที่มีการสร้างช่องทางให้เกิดการถ่ายทอดความรู้ซึ่งกันและ กันภายในระหว่างบุคลากร
ควบคู่ไปกับการรับความรู้จากภายนอก เป้าประสงค์สำคัญ คือเอื้อให้เกิดโอกาสในการหาแนวปฏิบัติที่ดีที่สุด
(Best
Practices) เพื่อนำไปสู่การพัฒนาและสร้างเป็นฐานความรู้ ที่เข้มแข็ง(Core competence) ขององค์กร เพื่อให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของสังคมโลกที่เกิดขึ้นอยู่ ตลอดเวลา
Senge (1990) ศาสตราจารย์แห่ง MIT Sloan
School of Management ได้เขียน
“The Fifth
Discipline : The Art and The Learning Organization”
ได้ให้ความหมายขององค์กรแห่งการเรียนรู้
หมายถึง ที่ซึ่งคนในองค์กรได้ขยายขอบเขตที่บุคคลในระดับต่าง ๆ
ต้องการอย่างแท้จริง เป็นองค์กรที่มีความคิดใหม่ ๆ
และการแตกแขนงของความคิดที่ได้รับการยอมรับเอาใจใส่ และเป็นองค์กรที่ซึ่งบุคคลเรียนรู้อย่างต่อเนื่องในเรื่องของวิธีการที่จะเรียนรู้ไปด้วยกันทั้งองค์กร
ซึ่งทักษะ หรือวินัยที่จำเป็นต่อการสร้าง
องค์กรแห่งการเรียนรู้ต้ององค์ประกอบอย่างน้อย 5 ประการ ได้แก่
1. ความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษของบุคคล (Personal
Mastery)
องค์ประกอบแรกที่สำคัญในองค์กรแห่งการเรียนรู้
ก็คือ ตัวบุคคล (Individual) ซึ่งความเชี่ยวชาญพิเศษของบุคคล หมายถึง
ระดับพิเศษในความเชี่ยวชาญ (Proficiency) ของบุคคลทำให้คนมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งและชัดเจนในเป้าหมายชีวิต
สามารถที่จะกำหนดวิถีของตนเองได้
สามารถค้นหาและกำหนดวิสัยทัศน์ของตนเองได้อย่างสอดคล้องกับความจริง
มีความมุ่งมั่นอดทนในการที่จะทำให้วิสัยทัศน์บรรลุผลความเป็นจริง
ซึ่งถ้าหากทุกคนหรือคนส่วนใหญ่ในองค์กรมีลักษณะ Personal Mastery จะส่งผลให้องค์กรก้าวไปสู่องค์กรแห่งการเรียนรู้ได้
2. มีโลกทัศน์(Mental
Models) ที่มองโลกตามความเป็นจริง
ซึ่งหมายถึง
โลกทัศน์หรือความคิดความเข้าใจของคนที่มีต่อโลก วิธีการคิดของบุคคล ที่มีต่อตนเอง
และผู้อื่นที่อยู่นอกตน ตลอดจนสมมติฐาน (Assumptions) ต่าง ๆ ในการดำรงชีวิตของคน
เป้าหมายของการพัฒนา Mental Models ไม่ต้องการให้ทุกคนมีความเห็นเพียงแนวเดียวกันทั้งองค์กร
แต่ต้องการให้เกิดแนวคิดของแต่ละบุคคลภายหลังจากมีการเรียนรู้ในระดับบุคคลแล้ว
เพื่อนำไปสู่ขั้นตอนของการมีวิสัยทัศน์ร่วมกันนั่นเอง
3. การสร้างวิสัยทัศน์ร่วมกัน (Building
Shared Vision)
หมายถึง
การทำให้พนักงานทุกคนมีส่วนร่วมในการสร้างวิสัยทัศน์เพื่อให้เกิดความผูกพันกับองค์กร
และสะท้อนวิสัยทัศน์ส่วนบุคคลของพนักงานอีกด้วย การมีวิสัยทัศน์ร่วมกัน (Share
Vision) ของคนทั้งองค์กร
เป็นการสร้างทัศนะของความร่วมมือกันอย่างมีจุดยึดมั่นร่วมกันของสมาชิก
เพื่อพัฒนาภาพในอนาคตและความต้องการที่จะมุ่งไปสู่ความปรารถนาของสมาชิกทั้งองค์กร
ซึ่งจะสนับสนุนให้เกิดการร่วมพลังของสมาชิกที่มีความคาดหวังต่อการเปลี่ยนแปลงและความก้าวหน้าภายใต้จุดมุ่งหมายเดียวกันของคนทั้งองค์กร
4. การเรียนรู้ร่วมกันเป็นทีม (Team
Learning)
หมายถึง
มีการถ่ายทอดความรู้ซึ่งกันและกัน
เป็นการสร้างบทเรียนแห่งความสำเร็จเพื่อขยายผลต่อไปในหน่วยงานอื่น และเป็นการคิดและสร้างสรรค์สิ่งใหม่ภายใต้การประสานงานร่วมกัน
การเรียนรู้ร่วมกันเป็นทีม เป็นการเรียนรู้ร่วมกันของสมาชิกโดยอาศัยความรู้
ความคิดของสมาชิกกลุ่มมาแลกเปลี่ยนความคิดเพื่อพัฒนาความรู้ความสามารถของทีมให้เกิดขึ้น
การเรียนรู้เป็นทีมจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อมีการรวมพลังของสมาชิกให้ได้มีโอกาสเรียนรู้สิ่งต่าง
ๆ ร่วมกัน โดยการแลกเปลี่ยนข้อมูลและประสบการณ์อย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง
5. การคิดอย่างเป็นระบบ (System
Thinking)
หมายถึง
การสร้างความสัมพันธ์ระหว่างความรู้ที่ดีจากความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษของบุคคล (Personal
Mastery)
ให้ต่อเนื่องเป็นระบบ การที่แต่ละบุคคลมีแนวคิดแบบองค์รวมทำให้สามารถมองกรอบของงานได้อย่างเป็นระบบ
ช่วยให้เห็นรูปแบบต่าง ๆ ได้อย่าง
ชัดเจนในการตัดสินใจแก้ปัญหา
หากมองด้วยมุมมองแบบแยกส่วน แม้ว่าจะเร็วกว่าแต่อาจทำให้เกิดการหยุดชะงักของระบบทั้งหมด
หรือสร้างปัญหาที่ซับซ้อนมากขึ้นอีก ดังนั้น การแก้ปัญหาแบบองค์รวมต้องใคร่ครวญและวางแผนในระยะยาว
ซึ่งอาจไม่สามารถเห็นผลได้ในระยะสั้น
การเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยสามารถสร้างผลที่ยิ่งใหญ่ได้ในองค์กร
ตามแนวความคิดของ
Senge (1990) ถือว่า
บุคคลเป็นองค์ประกอบสำคัญขององค์กรแห่งการเรียนรู้ ทั้งที่เป็นเอกบุคคล (Individual) และที่เป็นทีม (Team) ทั้งในระดับผู้นำและสมาชิกทั่วไปขององค์กร
องค์กรแห่งการเรียนรู้
จึงเป็นการเรียนรู้ร่วมกัน (Collective
Learning Process) เกิดขึ้นจากการมีปฎิสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกในองค์กร
เป็นองค์กรที่ส่งเสริมให้บุคคลในองค์กรเกิดการเรียนรู้ (Individual
Learning) เปลี่ยนพฤติกรรม (Mutual behavior change) อันเกิดจากการเรียนรู้ร่วมกัน (Mutual
learning)
เมื่อคนในองค์กรเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมไปในทางที่ดีก็จะทำให้องค์กรเกิดการเปลี่ยนแปลง
ปรับปรุงและพัฒนา (Organization Development) ไปในทิศทางที่ดีด้วยเช่นกัน
จะเห็นได้ว่าองค์กรแห่งการเรียนรู้
เป็นการมองในเชิงป้องกันปัญหา (Proactive) ในระยะยาว เป็นการวางแผนเพื่ออนาคต
โดยมีความเชื่อว่าหากสมาชิกในองค์กรเข้าใจการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ
ขององค์กรและสภาพแวดล้อมอย่างถ่องแท้แล้ว
จะสามารถปฏิบัติการเชิงรุกที่จะป้องกันปัญหาที่เกิดขึ้นในอนาคต
และสร้างสรรค์ผลงานที่เหนือความคาดหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ตัวอย่างกิจกรรมที่นำไปสู่การเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ (Learning Organization)
รูปแบบกิจกรรมที่ส่งเสริมการนำแนวคิดองค์กรแห่งการเรียนรู้มาใช้ในองค์กรมีอยู่มากมายหลายรูปแบบ
ดังนี้
1. ระบบห้องเรียน
เป็นระบบการพัฒนาพนักงานโดยมุ่งให้พนักงานสามารถทำงานตามตำแหน่งได้เป็นอย่างดี
โดยการจัดฝึกอบรมในห้องเรียนและฝึกงานจากพนักงานที่มีผลการปฏิบัติงานดีเป็นพี่เลี้ยง
ซึ่งเป็นการเชื่อมโยงความรู้ที่ได้รับในห้องเรียนมาฝึกปฏิบัติจริง
2.ระบบการประเมินผลแนวใหม่ เป็นระบบที่ส่งเสริมให้เกิดการประมินผลที่โปร่งใสตั้งแต่ต้น
ด้วยการตั้งเป้าหมายร่วมกันในแต่ละระดับ
ซึ่งเป้าหมายดังกล่าวมีทั้งเป้าหมายผลการดำเนินงานและเป้าหมายพฤติกรรมที่มีผลต่อการทำงาน
และเมื่อผลการทำงานไม่เป็นไปตามเป้าหมาย
หัวหน้าต้องให้ข้อมูลย้อนกลับและมีระบบการสอนงาน
3. การพัฒนาตนเองโดยใช้สื่อ เป็นการพัฒนาพนักงานโดยใช้แบบเรียนสำเร็จรูป เช่น หนังสือ เทปบันทึกเสียง
และมีการทดสอบเพื่อประเมินผลการเรียนรู้
ซึ่งเป็นการเปิดช่องทางการเรียนรู้ให้แก่พนักงานที่มีความใฝ่เรียนรู้
4. การจัดเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เพื่อให้มีการพบปะพูดคุยในเรื่องการดำเนินการแต่ละส่วนงาน หลายระดับ เช่น
การประชุมผู้บริหารระดับสูงทุกสัปดาห์
หรือการประชุมผู้บริหารระดับฝ่าย ส่วน แผนก ทุกเดือน รวมทั้ง
การประชุมคณะทำงานชุดต่าง ๆ
5.การถ่ายทอดความรู้สู่กัน โดยการจัดอบรมระหว่างกันเองในห้องเรียนให้ผู้สมัครใจเรียน
มีการสอบวัดผลเมื่อสิ้นสุดการเรียนในแต่ละขั้น
การสอนโดยใช้วิทยากรภายในเป็นผู้ถ่ายทอดความรู้เชิงทฤษฎี
และการนำไปประยุกต์ใช้ในการปฎิบัติงาน
บทสรุป
ปัจจุบันการนำแนวคิดเรื่อง “องค์กรแห่งการเรียนรู้”
มาใช้ปฏิบัติกำลังได้รับนิยมจากองค์กรทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะในภาคเอกชน
ซึ่งมีจุดมุ่งหมายที่จะทำให้คนในองค์กรสามารถขยายขีดความสามารถให้หลากหลายได้ตามความปรารถนาขององค์กร แต่ทั้งนี้
องค์กรจำเป็นต้องสร้างบรรยากาศแห่งการเรียนรู้ให้เกิดขึ้น เพื่อสนับสนุนให้ทุกคนมีโอกาสที่จะเรียนรู้ร่วมกัน
วางแผนร่วมกัน ตัดสินใจร่วมกัน และปฏิบัติงานร่วมกัน
พร้อมทั้งเป็นกระบวนการทำงานในองค์กรที่มีประสิทธิภาพและพัฒนาร่วมกัน
ซึ่งจะนำไปสู่การเป็น “องค์กรแห่งการเรียนรู้” ได้ในที่สุด
องค์กรใดก็ตามที่ผู้บริหารให้ความสำคัญกับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์อย่างต่อเนื่อง โดยเห็นคนเป็นทรัพยากรที่มีค่า (Valuable
Resource) รวมถึงมีระบบบริหารการจัดการทรัพยากรมนุษย์มีประสิทธิภาพ
ไม่ว่าจะเป็นด้านการการวางแผนกำลังคน ระบบค่าตอบแทน ระบบการประเมินผลการทำงาน ระบบแรงงานสัมพันธ์ ระบบการให้รางวัล ความปลอดภัยในการทำงานฯลฯ สิ่งเหล่านี้จะเป็นส่วนที่ช่วยส่งเสริมให้การพัฒนาดำเนินไปได้ด้วยดี โดยที่การพัฒนานั้นจะนำมาซึ่งทัศนคติที่ดี การยอมรับและความพร้อมที่จะปรับตัวเมื่อมีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งจะทำให้องค์กรสามารถดำเนินการตามภารกิจต่างๆ
เพื่อบรรลุเป้าหมายได้ ดังนั้นองค์กรใดก็ตามที่มีทรัพยากรมนุษย์ที่มีศักยภาพย่อมเป็นผู้ที่ได้เปรียบในเชิงการแข่งขัน